วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

โอลิโกฟรุคโตส ( Oligofructose ) ในกาแฟสำหรับผู้หญิงลดน้ำหนัก

      โอลิโกฟรุคโตส ( Oligofructose ) คือสารสกัดจากพืช มีโมเลกุลใหญ่ ละลายน้ำได้ดีมาก เมื่อรับประทานเข้าไปจะไม่ถูกย่อย จึงมีคุณสมบัติเป็นไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้  เมื่อรับประทานเข้าไป จะช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ และทำให้อ่อนนุ่มลง การขับถ่ายจะดีขึ้น 


      ปกติไฟเบอร์จะมี  2  ชนิด คือ ชนิดละลายน้ำได้ และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งไฟเบอร์ชนิดที่ไม่ละลายน้ำจะมีข้อเสียคือ รับประทานยาก และใช้ผสมในอาหารอื่นๆไม่ได้  ส่วนโอลิโกฟรุคโตส ซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้นั้นมีรสดี จึงทำให้ รับประทานง่ายมาก เด็กเล็กก็รับประทานได้ และ ยังสามารถใช้ผสมในเครื่องดื่มต่างๆได้ รวมทั้งใช้ ผสมในอาหารก่อนปรุงได้หลากหลาย
    โอลิโกฟรุคโตส สกัดได้จากพืชหลายชนิด แต่พืชที่ให้ปริมาณมากและคุณภาพดี คือ รากชิโครี่ (Chicory root ) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cichory intybus เป็นพืชต้นสูงประมาณ 4 ฟุต มีรากใหญ่ คล้ายแครอท ส่วนที่นำมาสกัด คือ ราก 

      โอลิโกฟรุคโตสมีคุณสมบัติเป็นไฟเบอร์ ที่ละลายน้ำได้ดีมาก มีรสหวานอ่อนๆ กลิ่นหอมจางๆ เมื่อรับประทานจะไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหารส่วนต้น เมื่ออยู่ในลำไส้ใหญ่ จะทำให้กากอาหารมีปริมาณมากขึ้น มีความอ่อนนุ่มมาก ช่วยให้มีการขับถ่ายดี ท้องไม่ผูก ป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร  ช่วยลดการสะสมของสารพิษในร่างกาย  จึงมีผู้นิยมนำไปใช้เพื่อทำการดีท็อกซ์ เพื่อควบคุมน้ำหนัก เพื่อควบคุมโคเลสเตอรอล และการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน  

      ในลำไส้ใหญ่ของมนุษย์จะมีเชื้อแบคทีเรีย ประมาณ 400 กว่าชนิด ซึ่งมีทั้งชนิดที่ดีและไม่ดีอยู่รวมกัน  แบคทีเรียชนิดดีที่มีมากที่สุด คือ กลุ่มที่ชื่อ ไบฟิดัส( Bafidus) และ กลุ่มแลคโตแบซิลลัส ( Lactobacillus ) ซึ่งสามารถสร้างวิตามิน และ อะมิโนแอซิดได้ มีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน และขจัดสารพิษที่เกิดจากเชื้อ แบคทีเรียชนิดที่ไม่ดี
     สรุปคุณสมบัติของ โอลิโกฟรุคโตส
      -เป็น Probiotics ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
      -ช่วยควบคุม กำจัดปริมาณจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในร่างกาย
      -ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีกลไกป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่
      -ช่วยลดสารพิษหลายชนิดที่อาจสะสมที่ผนังลำไส้ใหญ่
      -ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้าภูมิคุ้มกัน
      -ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

แพทย์เตือนดื่มกาแฟสด เสี่ยงโรคเบาหวาน-โรคอ้วน

           แพทย์เตือนดื่มกาแฟสด เสี่ยงโรคเบาหวาน-โรคอ้วน


         แพทย์เตือนดื่มกาแฟสดเสี่ยงโรคอ้วน โรคเบาหวาน พร้อมเตือนเครื่องดื่ม-อาหารเสริม ที่โฆษณาว่า มีกรดอะมิโอแอคซิส ไม่ได้ช่วยบำรุงสมองและร่างกายดังที่อ้าง

          นพ.สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้นิยมดื่มกาแฟสดมากขึ้น แต่จากผลวิจัยของสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย พบว่า กาแฟสดมีแคลอรีสูงมาก โดยการดื่มกาแฟสด 1 แก้ว จะให้พลังงานสูงเท่ากับการทานข้าวมากถึง 7 ทัพพี และถ้าหากผู้ดื่มเติมน้ำตาล หรือครีมเพิ่มเข้าไปอีก ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และโรคอ้วนมากขึ้นไปด้วย

          ทั้งนี้ นพ.สง่า กล่าวด้วยว่า นอกจากกาแฟสดแล้ว ปัจจุบันคนยังนิยมทานอาหารเสริม และเครื่องดื่มที่อ้างว่า มีส่วนประกอบของโปรตีน หรือกรดอะมิโอแอคซิส ซึ่งโฆษณาว่า มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย เสริมสร้างการทำงานของสมองและระบบประสาท แต่ในความเป็นจริงแล้ว กรดอะมิโนแอซิสจะทำงานได้ดีนั้น ต้องประกอบไปด้วยส่วนประกอบอีกกว่า 20 ชนิด ดังนั้น เครื่องดื่มหรืออาหารเสริมที่อ้างในโฆษณา จึงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะบำรุงร่างกายและสมองดังที่กล่างอ้าง ซึ่งถ้าหากต้องการเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่จะดีที่สุ

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประโยชนของ ถั่วขาว ใน กาแฟลดน้ำหนัก

ประโยชน์ของ ถั่วขาว ใน กาแฟลดน้ำหนัก 
     ถั่วขาว นั้นมีคุณสมบัติพิเศษ  เพราะมีสารสำคัญที่ชื่อว่า  ฟาซิโอลามีน  (Phaseolamin)  ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้เอนไซม์อะไมเลส เป็นกลาง  ดังนั้น    หากได้รับ  "ถั่วขาว"  เข้าไป  แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่เราบริโภคเข้าไป  จึงไม่สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้นั่นคือร่างกายจะได้รับพลังงาน  (แคลอรี)  จากแป้งลดลงในระดับที่น่าพอใจ  ซึ่งมีผลทำให้การสะสมของไขมันที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลเป็นไขมันลดลงด้วย  เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง  ไม่เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน  ร่างกายจึงต้องเผาผลาญไขมันเก่าที่สะสมออกมาใช้มากขึ้น  จึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยไม่ต้องใช้วิธีอดอาหาร"
  สารสกัดจากถั่วขาว ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทั่วโลกนำเข้าไปเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มอาหาร รวมถึงอาหารเสริม ใช้ควบคุมอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต มีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก โดยผู้เชี่ยวชาญ เภสัชกร เชอร์รี่ โทร์โคส ผู้แต่งหนังสือ "Winning at Weight Loss" มาพูดคุยถึงเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี พร้อมเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพทั่วโลก
      เภสัชกร เชอร์รี่ โทร์โคส กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีการค้นคว้าเชิงลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโรคอ้วนกับกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม และการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเพื่อการลดน้ำหนัก จึงทำให้เกิดเทรนด์การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีตัวช่วยให้ง่ายขึ้นด้วยการบริโภคสารสกัดจากถั่วขาวร่วมกับมื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานหรือคาว เพราะสารสกัดจากถั่วขาวจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาล
   เมื่อแป้งไม่ถูกย่อยเป็นน้ำตาลก็จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นไขมันส่วนเกิน  เมื่อมีการรับประทานมากเกินความจำเป็น ในทางตรงกันข้ามการที่เอ็นไซม์ไม่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ร่างกายก็จะต้องนำเอาไขมันที่เก็บสะสมออกมาใช้งาน จึงทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดตัวนี้มีน้ำหนักตัวลดลง ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการควบคุมอาหารและการบริโภคอย่างถูกต้องคือกุญแจสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่ดีด้วย 


วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

สารสกัดจากส้มแขก

     สารสกัดจากผลส้มแข ให้ผลดีมากในการลดน้ำหนักและปลอดภัยสูงสุด เนื่องจาก
    1.ช่วยนำอาหารที่คุณทานไปเปลี่ยนเป็นพลังงานทันที ไม่เกิดการสะสมเป็นไขมัน 
    2.ในกรณียังเหลือพลังงาน ก็จะเปลี่ยนไปสะสมในรูปไกลโคเจนที่ตับแทน ทำให้ร่างกายรู้ว่ามัพลังงานสำรองตลอดเวลา
    3.เมื่อร่างกายมีพลังงานตลอดเวลาคุณก็จะไม่หิว และจะทานอาหารน้อยลงโดยอัตโนมัติ
    4.สารสกัดจากผลส้มแขกไม่ใช่ยาไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใดๆและไม่เกิดYo-Yo effect หลังจากหยุดรับประทาน

      จนถึงบัดนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงหรืออันตรายที่เกิดขึ้นจากการรับประทานตามขนาดที่แนะนำ แต่ไม่ว่าจะลดน้ำหนัก ด้วยวิธีใด การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมในการกินอาหาร ควบคู่กับการออกกำลังกายที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ได้ผลเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
      ควรรับประทานสารสกัดจากส้มแขกตัวนี้ควบคู่กับ L-Carnitine และออกกำลังกายให้ผลลัพท์ที่ดีเยี่ยมในการลดน้ำหนัก เนื่องจาก ส้มแขกจะช่วยให้คุณจะรู้สึกมีพลังงานสดชื่นไม่โหยตลอดวัน ทำให้ง่ายที่จะควบคุมอาหารในแต่ละวันให้เหมาะสม และL-Carnitine จะไปช่วยดึงไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงานแทน และยิ่งเมื่อออกกำลังกายติดต่อกัน 40นาทีขึ้นไป ร่างกายจะเผาผลาญไขมันออกมาเป็นพลังงานได้เต็มที่ที่สุด